เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

 "..ท่านองคุลีมาลเป็นลูกของปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อท่านเกิดปรากฏว่าพระแสงประจำพระองค์ลุกเป็นเปลวไฟ ในที่สุดท่านปุโรหิตก็มากราบทูลว่า ลูกชายของท่านเองที่เกิดเมื่อคืนนี้เกิดในฤกษ์โจร และจะเป็นโจรที่ใครๆ ก็ปราบไม่ได้ ขอให้พระราชาสั่งประหารชีวิตลูกชายเสียเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม คือไม่ให้ลุกลามต่อไป

พระเจ้าประเสนทิโกศลท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเป็นนักบุญที่ทรงความยุติธรรม ท่านจึงถามท่านปุโรหิตว่า "ลูกชายของท่านเวลานี้เป็นโจรหรือยัง" ท่านปุโรหิตก็กราบทูลว่า "เวลานี้เด็กเพิ่งเกิดได้ไม่ครบ ๒๔ ชั่วโมง ยังไม่เป็นโจร แต่ทว่าต่อไปเมื่อโตเป็นหนุ่มจะเป็นโจรที่ไม่มีใครสามารถปราบได้" พระราชาจึงตรัสว่า "เมื่อเด็กยังไม่เป็นโจรก็ยังไม่ผิดกฎหมาย กฎหมายมีบัญญัติไว้เฉพาะคนที่เป็นโจรแล้ว จึงจะลงโทษได้" แล้วพระองค์ก็ถามต่อไปว่า "จะเป็นโจรที่มีคณะพรรคพวกมากหรือเป็นโจรคนเดียว" ท่านปุโรหิตก็ตอบว่า "เป็นโจรคนเดียว ไม่มีคณะและพรรคพวก แต่เป็นโจรที่ดุร้ายมาก ใครๆ ก็ปราบไม่ได้" พระราชาทรงดำริว่า "คนๆ เดียวเป็นโจร การปราบปรามไม่หนัก เรามีกองทัพทั้งกองทัพ ทำไมจะปราบคนๆ เดียวไม่ได้" ทรงสั่งให้เลี้ยงไว้ก่อน ต่อเมื่อเธอเป็นโจรท่านจะปราบปรามเอง

อหิงสกะกุมาร

เมื่อถึงวาระที่ฤกษ์งามยามดีที่สุด ท่านปุโรหิตก็จัดพิธีตั้งชื่อลูกชาย หาชื่อที่ดีที่สุดที่จะสามารถแก้อาถรรพณ์ จะไม่ให้ลูกชายเป็นโจรตามฤกษ์ที่หาได้ เมื่อถึงเวลาก็ขนานนามว่า "อหิงสกะกุมาร" แปลว่า "กุมารผู้ไม่เบียดเบียน" ชื่อนี้ศักดิ์สิทธิ์เมื่อท่านโตขึ้นมานับตั้งแต่พูดได้ ท่านมีความประพฤติดีมาก เป็นที่รักของคนทั่วไป เมื่อโตพอสมควรท่านปุโรหิตก็ให้ติดตามไปเฝ้าพระราชาทุกครั้งที่ถึงเวลาเข้าเฝ้า

เมื่ออายุถึง ๑๖ ปี ก็ให้ไปเรียนวิชาความรู้ที่ เมืองตักศิลา ตามหลักสูตรเขาเรียน ๔ ปี แต่ท่านอหิงสกะกุมารเรียน ๒ ปีจบหมดและเก่งมาก ครูให้ทำการสอนแทนครู เพื่อนรุ่นเดียวกันก็เริ่มริษยาเพราะเห็นว่าเพื่อนมาเรียนพร้อมกัน แต่กลับมาเป็นครูกันเสียเอง ตอนนี้ความเลวของเพื่อนเริ่มยั่วยุจะให้เป็นโจรแล้ว ท่านอหิงสกะกุมารเรียนเก่งทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๊น คือเก่งทั้งวิชาการรบและการปกครองและกฎหมาย ทุกอย่างเก่งเพียบพร้อมจริงๆ วิชาการรบนั้นเก่งเป็นพิเศษ เวลาซ้อมรบหรือซ้อมเพลงอาวุธ เพื่อนรวมตัวล้อมกรอบ ๔ คนยังสู้ท่านคนเดียวไม่ได้เลย จัดเป็นศิษย์ที่เก่งที่สุดทั้งสองประการเป็นคนแรกตั้งแต่ตั้งสำนักมาไม่เคยมีคนเก่งทั้งสองประการอย่างนี้มาก่อนเลย

บุพพกรรมของท่านองคุลีมาล

กรรมเก่าของท่านองคุลีมาลมาสนอง ก่อนที่ท่านองคุลีมาลจะมาเกิดเป็นคน ท่านเกิดเป็นควายป่าที่มีความเก่งกล้าสามารถมาก สามารถปราบสัตว์ป่าทุกประเภทให้แพ้ท่านได้ เมื่อปราบสัตว์ในป่าได้ก็เลยออกจากป่ามาปราบควายที่ชาวบ้านเลี้ยง ในที่สุดก็ปราบได้ราบคาบ ขวิดวัวควายช้างม้าของชาวบ้านตายบ้าง บาดเจ็บใช้งานไม่ได้บ้าง ชาวบ้านเขาก็โกรธ ต่อมาเขาก็รวมตัวกันคิดฆ่าควายป่าตัวนี้ จึงทำคอกที่แข็งแรงมาก ทำทางเข้าแต่เข้าได้ไม่ถึงควายที่กักไว้ในคอก ทางที่เข้าคอกปากทางใหญ่ แต่พอใกล้จะถึงคอกก็เล็กคับตัวมา แล้วเขาก็เตรียมไม้ไว้เพื่อสอดเข้าไปกันออก เมื่อเสร็จแล้วจึงเอาควายเลี้ยงไว้ในคอกเพื่อเป็นนกต่อ ควรจะเรียกว่าควายต่อมากกว่า

เมื่อถึงเวลาควายป่าองคุลีมาลก็ออกจากป่าเพื่อล่าสังหารศัตรู ความจริงไม่มีใครเป็นศัตรูท่านเองเที่ยวเป็นศัตรูกับคนอื่น เดินออกมาก็หาช้างม้าวัวควายไม่พบ เมื่อเดินเข้ามาถึงเขตคอก พวกควายในคอกก็กลัวแต่ไม่ยอมหนี เพราะไม่มีทางหนีออกจากคอกได้ ควายป่าก็เดินไปเดินมาก็เห็นควายพวกนั้นไม่หนี ก็คิดว่าเจ้าพวกนี้ไม่รู้จักราชสีห์ควายเสียแล้ว จะต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกว่าเราคือราชสีห์ควาย เดินวนไปวนมาหาทางเข้าไปปราบปรามก็ไม่มีทางเข้า

พอมาถึงประตูที่เขาทำลวงไว้ ไม่ทันสังเกตก็พุ่งตัวโดยแรงเข้าประตู เมื่อถึงช่องแคบตัวก็ติดกลับตัวออกก็ไม่ได้เพราะคับมาก ชาวบ้านเห็นเจ้าควายป่าเกเรติดช่องแคบก็รีบมา เอาไม้ใส่สกัดไว้ไม่ให้ออกมา ควายป่าก็หมดทางขยับตัว ต่อจากนั้นชาวบ้านที่ต้องเสียหายเพราะสัตว์เลี้ยงถูกทำร้ายใช้งานไม่ได้ เพราะเจ้าควายตัวนี้ รวมกันทั้งหมดพันคนเศษก็ร่วมมือกันตีควายป่าจนตาย คนที่ลงมือตีจริงๆ คงไม่กี่คนนัก แต่คนที่ร่วมคิดร่วมทุนกันจัดทำคอก และร่วมใจว่าเจ้าควายตัวนี้เราต้องฆ่าให้ตาย ขืนปล่อยไว้สัตว์เลี้ยงเราจะตายหมด ความจริงเขาก็คิดในมุมเมตตาสัตว์เลี้ยงและให้ความเป็นธรรมถูกต้องแล้ว

แต่กฎของกรรมท่านไม่เห็นด้วย ก่อนจะตายควายป่าตัวนั้นมันลืมตาดูคนที่รุมฆ่ามันและคิดว่า "ชาติหน้ากูขอฆ่ามึงบ้าง ชาตินี้กูคนเดียวมึงรุมฆ่ากู ชาติหน้ากูคนเดียวจะฆ่าพวกมึงทั้งหมด" เป็นการจองเวรกันชัดๆ

พวกคนที่รุมฆ่าควายตัวนั้น ในชาตินี้มาเกิดเป็นคนในเขตเมืองพาราณสีและในเมืองใกล้เคียง แม่ของท่านองคุลีมาลเองก็อยู่ในกลุ่มคนที่ฆ่าท่านมาในชาติก่อนด้วย ชาตินี้ท่านจึงมาเกิดในครรภ์ของคนที่จองจะฆ่าตั้งแต่ชาติก่อน

ทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้แล้วช่วยกันคิดว่า ลูกที่เราหวังดีบางคนทำไมจึงไม่เห็นใจและไม่เห็นความดีของพ่อแม่ กลับทำลายล้างและเป็นศัตรูกับพ่อแม่ ให้เอาเรื่องนี้เป็นเครื่องเปรียบเทียบก็แล้วกัน

เมื่อกรรมเก่าของท่านที่กล่าวมาแล้วเริ่มเข้าสนองใจ ก็เป็นเหตุบันดาลให้คณะศิษย์ที่มาเรียนร่วมกันทั้งหมดมีอารมณ์ริษยามากขึ้น ตอนนี้จะเห็นว่าอกุศลกรรมที่ทำไว้เข้าสิงใจพวกเพื่อนก่อน ทุกคนจึงไปยุครูว่า "อหิงสกะกุมารจะฆ่าท่านครู และจะยึดสำนักนี้เป็นอาจารย์เจ้าของสำนักเสียเอง และเวลานี้กำลังรวบรวมพรรคพวกจะลงมือฆ่าท่านในไม่ช้านี้"

เมื่อลมปากพัดบ่อยๆ หูนุ่นและสำลีก็อดหวั่นไหวไม่ได้ แต่หวั่นไหวก็ไม่เป็นไร มันถึงขั้นปลิวลมเลย ครูบาอาจารย์เลยวางแผนฆ่าท่านองคุลีมาล คิดว่าเราจะฆ่าเองนั้นไม่ยาก คนอยู่ในสำนักมันมีเวลาหลับ หลับเมื่อไรก็จัดการได้เมื่อนั้นไมมีอะไรยาก แต่การฆ่าลูกศิษย์ลูกหาด้วยมือตนเองหรือใช้ให้ใครฆ่าในสำนัก ความเสียหายใหญ่จะเกิดขึ้น จะหากินไม่ได้ในอาชีพนี้ต่อไป ควรยืมมือคนอื่นฆ่าดีกว่า

วิษณุมนต์

ในที่สุดท่านอาจารย์เจ้าสำนักก็เรียกท่านองคุลีมาลเข้าไปหาบอกว่า "ครูมีมนต์พิเศษอยู่บทหนึ่งมีชื่อว่า "วิษณุมนต์" มนต์บทนี้ถ้าใครเรียนได้แล้วสามารถปราบได้ทั่วไตรภพคือ ปราบมนุษย์ เทวดา พรหม ได้ทั้งหมด ไม่มีใครสู้ได้" แล้วก็ถามว่า "เธอจะเรียนไหม ที่ครูเรียกเธอมาบอกนี้ก็เพราะเห็นว่าเธอดีมีความสามารถยิ่งกว่าศิษย์ทุกคนที่เคยสอนมา เห็นว่าควรจะเรียนได้ มนต์นี้ยังไม่เคยให้ใครเรียนเลย เพราะศิษย์ทุกคนที่สอนมาไม่มีใครที่คู่ควรกับมนต์บทนี้ มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรและสมควรจะเรียนได้"

เมื่อเจอลูกยอเข้าแบบนี้ และคนที่เก่งอยู่แล้วก็อยากจะเก่งถึงที่สุด ก็ยอมรับว่าจะเรียน แต่ท่านอาจารย์ก็บอกว่า "มนต์นี้จะเรียนต้องยกครูก่อน การยกครูหรือการเสียค่าครูนี้ใช้เงินทองของใช้ไม่ได้ ต้องฆ่าคนถึงพันคนก่อนจึงจะเรียนได้"

เมื่ออกุศลกรรมเก่าเข้าสนอง ท่านอหิงสกะกุมารหรือท่านองคุลีมาลก็พร้อมจะทำตาม

หลังจากวันนันเป็นต้นมาก็ออกล่าชีวิตคน ตอนต้นคนยังไม่ทราบก็ฆ่าได้มากหน่อยเพราะฆ่าสะดวกคนยังไม่รู้ แต่พอชาวบ้านรู้ข่าวว่ามีคนดักฆ่าคนเขาก็ระวังตัว ทราบข่าวว่าท่านอยู่ทางไหนเขาก็ไม่ไปทางนั้น กว่าจะฆ่าได้แต่ละคนก็แสนจะลำบาก เมื่อฆ่าคนมาหลายวันเข้าก็ลืมจำนวนคนที่ฆ่า ต่อมาจึงใช้วิธีใหม่ ฆ่าได้หนึ่งคนต้องตัดเอานิ้วไว้หนึ่งนิ้ว

องคุลีมาลโจร

ตอนนี้จึงมีนามใหม่ว่า "องคุลีมาลโจร" แปลว่า "โจรผู้ฆ่าเอานิ้วมือ"

ในที่สุดก็ได้นิ้วมือ ๙๙๙ นิ้ว ขาดอีกนิ้วเดียว ถ้าคิดจำนวนคนที่ฆ่ามาแล้วก็เกินกว่าหนึ่งพันคน ตอนนี้หาคนที่จะฆ่ายากมาก เดินหาเรื่อยไปจนเข้าเขตเมืองพาราณสี คืนวันหนึ่งแม่ของท่านซึ่งเป็นศัตรูเก่าคิดถึงลูก ทราบว่าลูกมาใกล้ที่อยู่ จึงตั้งใจว่าตอนเช้ากินข้าวเช้าแล้วจะไปหาลูก จะไปขอร้องให้ลูกเลิกการฆ่าคน

การที่ท่านองคุลีมาลเกิดเป็นลูกของท่านปุโรหิต ซึ่งเป็นครูสอนธรรมะของพระราชาแสดงว่าบุญเก่าที่สั่งสมไว้มีมาก แต่กรรมเก่าที่เป็นอกุศลเข้าแทรกแซง เมื่อบุญเก่าเข้าสนองได้ กำลังใจที่จะทำบาปก็เริ่มคลายตัว แต่ทว่าความเข้มข้นของอกุศลก็ยังมีไม่น้อย

ท่านองคุลีมาลบรรลุมรรคผล

ตอนเช้ามืดพระพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ เห็นมรรคผลจะมีแก่ท่านองคุลีมาล และทรงทราบว่าตอนสายวันนี้แม่ของท่านองคุลีมาลจะออกไปหาลูก และท่านองคุลีมาลก็ตั้งใจไว้แล้วว่า วันรุ่งขึ้นจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพบแล้วจะฆ่าเพื่อให้ได้นิ้วมือครบพันนิ้ว ถ้าแม่ออกไปพบก่อน อาศัยการจองเวรกันไว้เธอจะฆ่าแม่ เมื่อฆ่าแม่ตายมีกรรมเป็น อนันตริยกรรม บุญมีเท่าไรจะยังให้ผลไม่ได้ ต้องลงนรกก่อน

ด้วยความกรุณา พระพุทธเจ้าจึงตัดสินพระทัยเสด็จไปโปรดตอนเช้าตรู่ เมื่อท่านองคุลีมาลเห็นสมเด็จพระบรมครูก็ออกวิ่งไล่กวด พระพุทธเจ้าทรงแสดงฤทธิ์ให้ไล่กวดไม่ทัน ท่านองคุลีมาลจึงร้องตะโกนออกไปว่า "สมณะหยุดก่อน" พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า "เราหยุดแล้ว" แต่พระองค์ก็ยังเดินต่อไป ท่านองคุลีมาลก็ไล่กวดใหม่แต่ก็กวดไม่ทัน จึงร้องตะโกนไปใหม่ว่า "สมณะ ทำไมจึงพูดมุสาวาท ท่านยังเดินอยู่แต่บอกว่าหยุดแล้ว" พระพุทธเจ้าทรงหันมาบอกว่า "องคุลีมาล ตถาคตหยุดจากบาปธรรมกรรมอันลามกแล้ว เธอยังไม่หยุดอีกหรือ" พระพุทธเจ้าดำรัสเพียงเท่านี้ กุศลกรรมที่เข้ามาสนองใจก็มีกำลังเพราะปีติ

ท่านองคุลีมาลได้สติคิดว่านี่เราทำชั่วเสียแล้วหรือ จึงวางดาบถอดพวงนิ้วมือออกวางลง แล้วสยายผมคลายผ้าหยักรั้ง วิ่งเข้าไปหมอบที่พระบาทของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงให้โอวาท ในที่สุดท่านก็ขออุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเวลาพอดีที่แม่ท่านไปถึง แล้วในที่สุดท่านองคุลีมาลก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

การที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะให้เข้าใจว่า การทำบาปอาจจะเป็นความจำเป็นเพราะการจองเวรจองกรรมกันก็ได้ เพราะเราเกิดทุกชาติก็มีการฆ่าสัตว์ทุกชาติ บางชาติเราอาจจะเป็นสัตว์ถูกเขาฆ่าและอาจจะจองเวรอย่างท่านองคุลีมาลจองไว้ก็ได้ เพื่อความมั่นใจถ้าต้องการผลจริง ขอให้ทุกคนตั้งใจเวลาทำบุญ เวลานั้นจงอย่านึกถึงบาป เมื่อเจริญภาวนาจงอย่านึกถึงบาป หลังจากทำบุญแล้วให้อุทิศส่วนกุศลถึงสัตว์ที่ฆ่ามาแล้ว ขอให้อโหสิกรรมจนกว่าจะเข้านิพพาน ถ้าทำอย่างนี้เสมอๆ กำลังใจจะคลายจากอารมณ์คิดถึงบาป เมื่อเวลาจะตาย ใจนึกถึงบุญที่ทำจนชินที่เรียกว่า "ฌาน" จะเป็นบุญประเภทใดก็ได้ ทางที่ดีภาวนานึกถึงพระพุทธเจ้าไว้เป็นปกติ ท่านที่ได้ฌานสามารถไปสวรรค์ พรหม พระนิพพานได้ ใช้กำลังใจจับอยู่สถานที่ที่เราชอบมากที่สุดไว้ทุกเช้าเย็น เมื่อเริ่มป่วยจับอารมณ์ไว้ว่า ถ้าเราตายขอมาที่นี้แห่งเดียว ทางที่ดีควรคิดและทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ตื่นนอนตอนเช้า ถ้าทำอย่างนี้เป็นประจำวัน ก่อนจะตายอารมณ์ก็จะจับกุศลก่อน เมื่อจิตออกจากร่างเมื่อไรก็จะไปตามที่เราต้องการทันที และถ้าหากขณะที่ไปเป็นเทวดาหรือพรหม พบพระศรีอาริยเมตไตรยเมื่อไร ฟังเทศน์จบเดียวก็จะบรรลุมรรคผล ในที่สุดก็สามารถไปพระนิพพาน พ้นจากการกลับมาเสวยทุกข์อีกต่อไป.."


ห้องสมุดธรรมะ