เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

 “..วันที่ ๑๒ ธันวาคม  ๒๕๓๑  อาตมากำลังป่วยมาก  ท่านทราบข่าวทางโทรศัพท์ว่า เจ้าคุณวัดไตรมิตรฯ พระวิสุทธาธิบดี ท่านมรณภาพ  ก็คิดว่าพระองค์นี้มีคุณมาก วัดท่าซุงตั้งขั้นมาได้และเจริญรุ่งเรืองในเวลานี้ก็มีท่านส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญมากช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง  ชื่อว่าเป็นลูกมือของสมเด็จวัดสามพระยา  ก็คิดในใจว่าอยากจะไปรดน้ำศพแต่ก็นอนลุกไม่ขึ้น  จะไปจัดงานสวดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังไปไม่ไหว จนถึงวันที่ ๑๘  ธันวาคม ๒๕๓๑ ก็ยังลุกจากที่นอนไม่ไหว พอเวลา ๔  โมงเช้านอนภาวนาอยู่ก็คิดถึงท่านเจ้าคุณผู้มีคุณของเราว่า “เวลานี้ ท่านมรณภาพแล้วท่านไปอยู่ที่ไหน”  อันดับแรกเราต้องไปดูที่สำนักพระยายมราชก่อนเพราะเพิ่งตายไปไม่กี่วันนัก  อย่างน้อยที่สุดถ้าบังเอิญผ่านสำนักนั้นก็ยังไม่มีการสอบสวน เพราะว่าตอนป่วย ๑๐ กว่าวันไม่ได้ไปสำนักพระยายมราชเลย  พอไปถึงท่านลุงใหญ่นายบัญชีก็ถามว่า “คุณมาถามถึงเจ้าคุณไสวใช่ไหม” ท่านไม่เรียกราชทินนาม ท่านเรียกชื่อเดิม ก็บอกท่านว่า  “ใช่”  ท่านบอกว่า  “คนชื่อไสวที่เป็นพระสงฆ์  เวลานี้ไม่มีอยู่ในบัญชีเมืองนรก”  พอฟังเท่านั้นก็ดีใจมาก ขนลุกซู่ ชื่นบาน ก็คิดว่าท่านผู้มีพระคุณใหญ่ของเรา  เวลานี้ท่านไม่ต้องตกนรก  ไม่ต้องทรมาน  จึงถามท่านนายบัญชีใหญ่ว่า “ท่านอยู่ที่ไหน”  ท่านก็ตอบว่า  “ผมบอกก็ได้แต่ไม่ใช่หน้าที่ของผม  ท่านต้องไปถาม ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขานุการบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก”

อาตมาก็ไปถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า  “พระองค์ที่ชื่อไสวอยู่วัดไตรมิตร  เวลานี้ท่านอยู่ที่ไหน” ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า “นั่งอยู่ข้างๆ คุณนี่อย่างไรล่ะ” คนที่นุ่งผ้าสีเขียวเป็นมันระยับแพรวพราวหน้าตาสวยสดงดงาม ผ่องใสมาก คนนี้คือ  ไสว วัดไตรมิตร ก็หันไปท่านยิ้มและต่างคนต่างก็ยกมือไหว้กัน  แต่เวลานี้ท่านไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นเทวดาแล้ว  อาตมาถามท่านว่า  “ท่านมาอยู่ชั้นดาวดึงส์หรือ”  ท่านตอบว่า  “ใช่”  และบอกว่า  “ขอบใจนะที่ช่วยผมอยู่มาก”  ถามว่า  “ช่วยอะไรท่าน” ท่านก็บอกว่า “การที่นิมนต์ไปที่วัดท่าซุงนั้น  ผมไม่ได้หมายความว่า ถวายเงิน ถวายผ้าไตร  แต่ช่วยกำลังใจผมให้มีความชื่นบานในบุญกุศลของท่าน กำลังใจของผมก็มีปีติที่พระสงฆ์ที่ผมช่วยไว้เป็นผู้ชนะความชั่ว คือ ชนะความทรุดโทรม  มีแต่ความรุ่งโรจน์  ทำให้วัดวาอารามรุ่งโรจน์  ทำให้พระพุทธศาสนาเด่นขึ้น”

อาตมาถามท่านว่า “ท่านตายในขณะที่ไปดูงาน  ท่านมีกำลังใจเป็นกุศลส่วนไหนจึงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้” ท่านก็ตอบว่า “จงอย่าลืมว่าผมไปในงานของพระศาสนา เขาจะตรวจสอบวิชาความรู้ของนักธรรม  ผมไปนั้นจิตผมเป็นธรรมจริงๆ ไม่มีกังวลอื่น  ไม่ใช่ไปคิดอยากได้เงินอยากได้ทอง อยากได้มันก็ไม่ได้เพราะงานนั้นไม่มีค่าแป๊ะเจี๊ยะ  ไม่มีเงินไม่มีทอง  มีอย่างเดียวคือค่าใช้จ่าย ผมไปค่าพาหนะผมก็จ่ายจากทุนของผมเอง  ผมไปเพื่อพระศาสนาจริงๆ  กำลังใจของผมไปเพื่อบุญเพื่อกุศล  เพื่อให้ความเป็นธรรม เวลาที่ป่วยขึ้นมาปั๊บรู้สึกว่ามีอาการวูบลงหน้ามืด  พอหน้ามืดไม่เห็นสิ่งภายนอกก็ปรากฏสิ่งภายในขึ้น นั่นคือ  พระพุทธรูปทองคำในพระอุโบสถ  ภาพท่านปรากฏชัด เห็นแสงสว่างมาก ยิ่งดูยิ่งชัดๆ  ขึ้น หนักเข้าใกล้จะถึงวาระจริงๆ  เห็นพระทองคำท่านยิ้ม ผมก็หมดความรู้สึกอีกครั้ง  ตอนนี้ปรากฏว่ามีร่างกายมาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก  มีวิมานแก้ว ๓ ประการเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า  ๕,๐๐๐  คนเป็นบริวาร”


ห้องสมุดธรรมะ