เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

มงคลที่ ๓๒ พระบาลีว่า พฺรหฺมจริยญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า การประพฤติพรหมจรรย์ จัดว่าเป็นอุดมมงคล

คำว่าการประพฤติพรหมจรรย์ ท่านผู้อ่านที่มีความรู้ทางภาษาบาลีก็พอจะเข้าใจ ที่ไม่มีความรู้อยู่บ้างชักจะยุ่ง คิดว่าพรหมจรรย์ก็คือนักบวชที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองบ้าง บางทีสตรีที่ยังไม่มีประจำเดือนเขาเรียกว่าพรหมจารี ก็แปลว่าพรหมจรรย์ ความนี้ เป็นความเฉพาะชาวโลกเท่านั้น แต่สำหรับมงคลนี้ไม่ได้ถือยังงั้น ถือว่าการประพฤติพรหมจรรย์ คำว่าพรหมจรรย์ จรรย์ แปลว่าความประพฤติ พรหม แปลว่าประเสริฐ อันนี้ก็ต้องเรียกว่าการประพฤติอย่างประเสริฐ นี่มงคล ๓๒ นี่ พระพุทธเจ้าทรงยกสูงขึ้นมาแล้ว เพราะปัจจัยเดิมก็ได้แก่การบำเพ็ญตบะ เป็นเครื่องเผาผลาญบาป คือไม่มีความชั่ว ความชั่วมีเท่าไร เผาให้หมด เมื่อเผาหมดแล้ว ก็เข้าถึงความประเสริฐ ตานี้ ความประเสริฐ จะประเสริฐกันตรงไหน อะไรเรียกว่าประเสริฐ คำว่าประเสริฐนี้ แปลว่าไม่มีที่ติ อันนี้ชักยุ่ง คำว่าไม่มีที่ตินี่ คนติคือใคร สำหรับคนตินี่ ถ้าเป็นชาวโลก ถือเอาไม่ได้แน่ เพราะชาวโลกแกมีอะไรไม่แน่นอน โลก แปลว่ามีอันที่จะต้องฉิบหายไป คราวนี้ชาวโลกนี่ก็ต้องแปลว่ากลิ้ง หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ ถ้าไปมองฟังชาวโลกติละก็ ตายแล้วหาความเป็นพรหมจรรย์กันไม่ได้ ทีนี้ คนที่เราจะรับติรับชมก็มีอยู่คนเดียว คือคนที่หมดกิเลส มีองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น หรือว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายโดยเฉพาะ ที่ได้ถึงความเป็นอรหันต์แล้ว คือหมดเลว มีแต่ความดีการรับฟังการติการชม ได้แต่พึ่ง ๒ ประการนี้ คือพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ถ้าไปนั่งฟังชาวโลกติชาวโลกชมละก็เสร็จ เป็นโรคเส้นประสาทตายหมด ทีนี้ คำว่าดีโดยประเสริฐหรือดีอย่างประเสริฐ ประพฤติอย่างประเสริฐ คือประพฤติพรหมจรรย์ เราจะเอาอะไรมาเป็นสำคัญ สิ่งที่เราจะเห็นได้ง่ายที่สุดเป็นเครื่องวัด ก็คือรากเหง้าของความชั่ว รากเหง้าของความชั่วน่ะมันมีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.โลภะ ความโลภ ๒.โทสะ ความโกรธ ๓.โมหะ ความหลง ถ้าเราขุดรากเหง้าของมันทิ้งเสียได้แล้ว ไอ้กิ่งก้านสาขาไม่ต้องห่วงไม่มีอะไรเหลือ การประพฤติพรหมจรรย์ในข้อนี้ ก็หมายความว่าทรงตบะ เผาผลาญความชั่วให้สิ้นไป นี่ความจริงท่านน่าจะกล่าวรวมกันไว้ แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่าจะเป็นการลำบาก ความจริงเอาข้อที่ ๓๑ กับ ๓๒ ถ้ารวมกันไว้ก็ได้ แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรเห็นว่าจะเข้าใจลำบากจึงแยกออกไปเสีย

เมื่อเราเผาผลาญความชั่วแล้ว ก็ประพฤติเฉพาะความดี นี่ท่านแยกให้เห็นง่าย ๆ ค่อย ๆ ขยับไป รู้สึกว่าสบายดีจริง ๆ การปฏิบัติตนตามมงคลน่ะปฏิบัติสบาย ค่อย ๆ ขยับไปทีละน้อย ๆ จะเห็นได้ชัดว่ามันดีหรือมันชั่ว เราก็เอามงคลเป็นเครื่องวัดกำลังใจของตัวเท่านี้พอ สบายจริง ๆ ตานี้ เมื่อเราเผาผลาญบาปหมด ถ้าเราไม่ประพฤติความดี ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นคนดีอย่างนี้ ท่านเรียกว่าโคตรภู ยังอยู่ในระหว่างกลาง เป็นอันว่าเราไม่ทำความชั่ว แต่เรายังไม่สร้างความดี เราละความชั่วแล้ว แต่ความดีเรายังไม่ทำ ยังไม่ชื่อว่าดี ตรงนี้น่ะ มันยุ่งสักนิดละมั๊ง เราไม่ด่าเขา แต่เรายังไม่ชม นี่เทียบให้ฟัง คนนี้เราไม่ด่าเขา แต่เรายังไม่ชม เราไม่ด่าเขา เป็นการวางเฉย แต่เรายังไม่ชมเขายังไม่เรียกว่าดี ตานี้ สิ่งที่เราจะทำต่อไป เราไม่กินเหล้าเมาสุรา แต่ว่าเราก็ไม่ประพฤติการเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น นี่เรียกว่าความชั่วเราไม่ทำ แต่ความดีเราก็ยังไม่ได้ทำ ละความชั่วได้ ความดียังไม่ทำ ในข้อนี้ก็เหมือนกัน เราพยายามเผาผลาญความชั่วให้สิ้นไป แต่ความดียังไม่ทำ ถ้าจะพูดโดยผลทางใจมันก็เกิดแล้ว แต่มันเกิดไม่สนิทนัก นี่ไม่ต้องมาวินิจฉัย ว่ากันไปเลยดีกว่า รำคาญใจคนอ่าน เมื่อเราเผาผลาญความชั่ว จากมงคลในข้อ ๓๑ แล้ว มาข้อ ๓๒ ตั้งใจประพฤติความดีทุกจุด ที่เป็นจุดของความดีอันนี้ เป็นเรื่องของธรรมะชั้นสูงแล้วตรงไหนล่ะ เราทำกันตรงไหนจึงจะถึงความดี นี่มันเรื่องใหญ่เสียแล้วนี่ ความดีก็คือ ๑.เราไม่สนใจกับความดีและความชั่วของบุคคลอื่น มาสนใจกับใจเราโดยเฉพาะ ไอ้เรื่องกายกับวาจานี่ความจริงไม่ต้องไปยุ่งกับมันก็ได้ เรายุ่งกับใจตัวเดียวพอ เพราะกายกับวาจามันขึ้นกับคำสั่งของใจ ถ้าใจดีแล้ว กายกับวาจามันก็ดีด้วย นี่เรามาควบคุมกำลังใจของเราให้อยู่ในขอบเขตของความดี ดีแบบไหนบ้าง แหม ถ้าจะงัดอุทุมพลิกสูตรมาพูดมันก็ยาว ตั้งหลายสิบข้อ ไม่เอาละ เอากันดีตรงที่ว่าไม่มีความโลภ ง่าย ๆ หน่อยไม่โลภ แล้วไม่ติดใจในทรัพย์สิน ไม่มัวเมาในทรัพย์สิน เห็นว่าทรัพย์สินเหล่านี้ มีความจำเป็นเหมือนกันในสมัยที่มีชีวิตอยู่ แต่อารมณ์ใจของเราก็รู้ มันกับเราต้องแยกกัน ไม่แยกกันตอนที่เราตายแล้ว ก็แยกกันในระหว่างที่เราไม่ทันตาย เพราะว่าทรัพย์สินทั้งหลายนี้ มีขึ้นมาได้ก็สลายได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา เรียกว่าไม่เมาในทรัพย์สิน ไม่ติดอยู่ในทรัพย์สิน ตัวนี้เอากันตัวสูงเลย ไม่ติด เขาให้รับ มีทางที่จะได้มา รับ รับแล้วก็จัดทรัพย์ที่เป็นโลกีย์ให้เป็นโลกุตตระ ทำโลกียทรัพย์ให้เป็นอริยทรัพย์ ทำยังไง ? ธนบัตรใบเดียวกันมันทำได้ ๒ อย่าง ใบเดียวกัน ถ้าเราเอาไปซื้อสุราดื่ม หรือซื้อปืนมาไล่ยิงชาวบ้าน นี่มันสร้างความทุกข์ ถ้าธนบัตรใบนั้นเราเอาไปสงเคราะห์คนที่รับความทุกข์ให้มีความสุข มันก็เป็นเหตุของการสร้างความสุข ทีนี้มาเรื่องของความโลภของท่านที่ประพฤติพรหมจรรย์ เห็นค่าของทรัพย์สินทั้งหมดมีค่าทุกอย่างไม่ใช่ว่าไร้ค่า แต่ว่าถ้าจะนำทรัพย์ไปใช้ในค่าของโลกีย์ คือสะสมให้ตัวเองร่ำรวยมหาศาล เห็นว่าขอบเขตนี้ยังสั้นเกินไป เวลาเราตายเราแบกไปไม่ได้ เมื่อมีทรัพย์ก็แบ่งทรัพย์นั้นไว้ตามความจำเป็น ส่วนที่เหลือนั้นแจกจ่ายความสุขตามที่เราจะเห็นสมควร ถ้าฝนมันตกน้อย ก็เอาสตางค์ไปช่วยพระเจ้าแผ่นดินท่านเสกฝน หาวัตถุมาช่วยกำลังคนที่ขาดฝน เขาจะได้ได้ฝนทำพืชพันธุ์ธัญญาหารให้เกิดขึ้นมันก็มีความสุขมาถึงเรา หรือว่าโรคภัยไข้เจ็บมันเกิดขึ้น ก็ช่วยกระทรวงสาธารณสุขก็ได้หรือจะไม่ช่วยเข้าไปถึงกระทรวง รวมกันเข้า เอาสตางค์ไปซื้อยามาแจกให้แก่คนไข้ตามนายแพทย์สั่ง ดังนี้ก็ใช้ได้ หรือว่าเห็นว่าใครเขายากจนเข็ญใจมีความทุกข์ เราก็บำรุงความสุขตามสมควร หรือว่าสร้างส่วนสาธารณประโยชน์ เป็นส่วนกลาง ๆ ไม่ใช่ส่วนของใคร ใครจะมาใครจะไปก็ใช้ได้สม่ำเสมอกัน อย่างนี้เรียกว่าทำโลกียทรัพย์ ให้เป็นโลกุตตระทรัพย์ คือทำธนบัตรให้เป็นความดีเกิดขึ้น ไม่เมาในลาภ นี่พรหมจรรย์ประพฤติอย่างประเสริฐ

ประการที่ ๒ ละความโกรธด้วยอำนาจของความเมตตา เมตตาก็ดี ละความโกรธก็ดี การสงเคราะห์คนก็ดี นี่ อยู่ในพรหมวิหาร ๔ ไป ๆ มา ๆ ก็มาลงเจ๊งกันอยู่ตรงนี้ เราก็ละความโกรธเสียด้วยอำนาจเมตตา การช่วยเขามันเป็นการกรุณา ความสงสาร เราไม่โกรธ ไม่พยาบาทใครเสีย ใจมันก็สบายเราก็สุข คนอื่นก็สุข เพราะเราไม่เป็นศัตรูของใคร และเราก็ไม่เห็นว่าใครเป็นศัตรูของเขา นอนสบาย หลับสบาย ตื่นสบาย จะอยู่นอกบ้านในบ้านก็สบาย ใจมีความสุข เลิก ถือว่าโกรธเป็นไฟเผาผลาญ แล้วเราก็ไม่หลงเห็นอัตภาพร่างกายของเราว่ามันจะทรง คงทนถาวรต่อไป รู้ตัวว่ามันแก่ทุกวัน ความเมามันในโลกีย์วิสัยเลิก เพราะมันอยู่ไม่นานนี่ มันก็ไปแล้ว มันจะพังของที่เราได้มาก็พัง เราจะไปมั่วสุมกับบุคคลใด คนทั้งหลายเหล่านั้นไม่ช้าก็พัง ถ้าเขาไม่พังก่อน เราก็พังก่อนเขา ไม่เห็นมันมีอะไร ขุดรากขุดเหง้าของความชั่วทั้ง ๓ ประการนี่โยนทิ้งไปด้วยการเป็นผู้มีพรหมวิหาร ๔ เป็นพื้นฐาน เมื่อพรหมวิหาร ๔ มีแล้ว มันจะมีอะไร ศีลมันก็บริสุทธิ์บริบูรณ์ สมาธิ ความมีจิตใจตั้งมั่น ไม่ต้องไปนั่งหลับตาก็ได้ ถ้าเรามีพรหมวิหาร ๔ จริง ๆ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่ต้องไปยกป้ายว่าฉันเป็นนักสมถะ วิปัสสนา ไม่ต้อง สมาธิมันทรงตัว เพราะอะไร เพราะอารมณ์ของความชั่วไม่มีที่เราฝึกสมาธิกันนี่ เราฝึกจิตให้หลีกจากความชั่ว ถ้าเรามีพรหมวิหาร ๔ แล้วมันจะชั่วกันตรงไหน พรหมวิหาร แปลว่าที่อยู่ของพรหม ที่อยู่ของคนประเสริฐ ถ้าเราจะประพฤติให้เข้าถึงความประเสริฐ ก็ต้องเข้าถึงพรหมวิหาร ๔ จิตใจมันมีแต่ความรัก ความเมตตาปรานี ปรารถนาในการสงเคราะห์ ไม่อิจฉาริษยาใคร มีอารมณ์ใจวางเฉยในขันธ์ ๕ โอ๊ะ สูงไปไหม ? ไม่สูง เพราะตัวนี้เป็นตัวสูงเสียแล้ว มีจิตใจวางเฉยในขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รู้เรื่องไหม ไม่รู้เรื่องก็เอายังงี้ดีกว่า มีจิตใจวางเฉยในร่างกายมันจะแก่ก็เชิญแก่ มันจะป่วยก็ตามใจ รักษาหายก็หาย ไม่หายก็แล้วไป มันจะตายก็ปล่อยมัน เพราะเห็นว่าร่างกายนี้นั้น เป็นปัจจัยของความทุกข์ เป็นบ่อน้ำที่รับน้ำ คือความทุกข์เข้ามาขังไว้ ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว ทุกข์จากความหิว ความกระหาย ความหนาว ความร้อน มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีสรรเสริญอะไรจิปาถะ มันจะไม่มีเลย นี่ เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์แบบง่าย ๆ ไม่เห็นยาก เรียกว่าเอากันแต่ตรงดี

ไอ้ดีนี่ ถ้าจะไล่กันดะไปมันก็ไล่ไม่จบ หาจุดจบมันแค่พรหมวิหาร ๔ พอแล้ว ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ได้ดีจริง ๆ จะพบพรหมจรรย์ จะไปไล่เอาไอ้โน่นมา เอาไอ้นี่มาให้ชาวบ้านเขาฟังลำบาก ไม่เป็นเรื่อง ผลที่สุดมันก็มาลงแค่พรหมวิหาร ๔ พรหมวิหาร แปลว่า ที่อยู่ของผู้ประเสริฐ ถ้าเราไม่เรียกกันว่าพรหมจรรย์ จะเรียกกันว่าอะไร

มงคลข้อนี้ ขอผ่านไป ก่อนจะผ่านขอให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูสักนิดหนึ่ง ว่าคนที่ทรงความดีอยู่ในชั้นพรหมวิหาร ๔ ถ้าโลกนี้ทรงไว้ทุกคน โลกนี้จะมีความสุขตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทศพลที่กล่าวกับเทวดาไหม อันนี้ ขอท่านผู้อ่านทั้งหลายใช้ปัญญาพิจารณาเอาเอง อาตมาไม่ยัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านพูดไว้เสมอว่าพระธรรมเทศนา คือคำสอนของท่าน ท่านไม่กะไม่เกณฑ์ให้ใครเชื่อ ก่อนที่จะเชื่อต้องใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน อันนี้ ก็ใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน เห็นว่าธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงธรรมดี ก็เอาไปปฏิบัติ ถ้าไม่ดี ก็โยนทิ้งไป ไม่มีใครขัดคอ ๚ะ

ห้องสมุดธรรมะ