เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

เมื่อวันรุ่งขึ้นตอนเช้าเวลาประมาณ ๙ น. ก็เริ่มปวดท้องแล้วท้องก็ถ่าย มันถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัดเป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้ และใช้ให้คนรีบไปตามลุงที่เป็นหมอ ด้วยลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ ๓ เวลาประมาณ ๘.๕๐ น. ดูนาฬิกาที่บ้านเห็นเกือบ ๙ น. มีอาการเพลียมาก แรงไม่มี ท้องก็ปวดมาก ภายในมีความร้อน ความปวดของท้องปวดมาถึงผิวหนัง ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้ จะขมวดหรือรัดเข็มขัดทำไม่ได้ ด้วยมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้ เมื่อท่านลุงมาถึง ท่านก็ฉีดยาให้ ๑ เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านให้กินยาแล้ว ท่านแม่ก็หยิบพระพุทธองค์ที่ฉันรักมากที่สุด มาวางไว้ทางขวามือ พอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมาก เห็นจะเป็นธูปแขก มันหอมชื่นใจจริงๆ เมื่อท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จ ท่านก็บอกว่า ลูกภาวนาว่าพุทโธนะลูก ภาวนาไว้ จำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาจงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็วๆและจะไม่เจ็บท้อง เรื่องภาวนาพุทโธนี้ ท่านแม่สอนและบังคับเป็นปกติ เมื่อยามปกติ ท่านจะบังคับให้บูชาพระก่อนนอน ให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วก็ว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ แล้วให้ภาวนาว่า พุทโธ ๓ ครั้ง ต้องว่าให้ท่านได้ยินจึงจะนอนได้ เมื่อเด็กๆฉันกลัวผี ท่านแม่บอกว่า พระพุทโธผีกลัว เมื่อกลัวผีจงภาวนาว่าพุทโธ ผีจะไม่หลอก เมื่อกลัวผีเมื่อไรฉันก็ภาวนาพุทโธเสมอ ไม่ใช่ภาวนาเอาบุญ ฉันภาวนากันผีหลอก จะเป็นบุญบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มาตอนนี้ท่านให้ภาวนาว่าพุทโธ เป็นการภาวนารักษาโรค และภาวนากันตายด้วย ถ้าโรคหาย มันก็ต้องไม่ตาย เมื่อท่านแม่สั่ง ฉันก็ภาวนาฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานฉันเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่าม หน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจ เมื่อหลับตา ฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการทางท้องที่ปวดรู้สึกคลายลง พร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเกิดแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระเลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย เวลาผ่านไป ๙ น.เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่างๆ สายตามันเห็นสั้สเข้ามาทุกที ชั่วเวลา ๒-๓ นาที มันก็เกิดมองอะไรไม่เห็นเลย แต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือ ฉันมองไม่เห็นพระ ฉันรู้สึกเสียใจที่ฉันไม่สามารถมองเห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตาเสีย ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติ อาการปวดไม่มี แต่ฉันห่วงพระ เสียดายภาพพระพุทธที่ฉันรัก ฉันเลยคิดเอาว่า เมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนาว่าพุทโธ พระท่านจะไปหาทันที ไปในร่างทิพย์ ฉันคิดได้ ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ใจฉันอยากเห็นท่านขอให้ท่านมาหาฉัน พอภาวนาได้สัก ๓ รอบ ปรากฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธ เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนกลมไปหมด ไม่เป็นเหลี่ยมเห็นของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อยๆ กำลังน่ารัก เนื้อเต็ม ไม่มีส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉัน ท่านยิ้มน้อยๆแต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองฉันก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม ๓ คราวเขาไม่ยิ้มรับ ฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ใคร่ดี แต่เป็นเรื่องของคนมีกิเลส ว่ากันตามอารมณ์ของคนปกติมีกิเลส ท่านผู้อ่านอย่าเอาไปปฏิบัติตาม มันเป็นกรรมที่เป็นอกุศล จะเอาก็เลือกเอาแต่ตอนที่ดี มาพูดกันถึงภาพพระต่อไป ฉันรักท่านมาก ท่านสวยและสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัว มี ๖ สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลด แต่สวยมากกว่าจนเทียบกันไม่ได้ ตัวท่านเองแทนที่จะเป็นสีเหลือง กลับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว มองไปมองมาปรากฏว่า ตัวฉันกลายเป็นคน ๒ คน คือ คนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูตัวฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีเหลือง มีแก้วประดับผ้าหมดทั้งผืน มองดูเนื้อฉันมีสีทองมาจับ และเป็นสีทองทั้งตัว บนหัวมีชฎาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและ ชฏามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก ดูตัวที่นอน ฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉัน แต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลย มันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระ ท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบาย ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ชักอึดอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้าน ด้วยที่นั่นเย็นสบายดี แต่การไปนอกบ้านปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปไหว้ท่าน ลาท่านไปหลังบ้าน ท่านไม่ยอมพูดด้วย ท่านมองแต่เจ้าคนนอน เอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาลุงท่านก็ทำแบบเดียวกัน ไปหาใครก็ไม่มีใครสนใจก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดบ้าน แล้วเลี้ยวออกไปยืนข้างทาง ผ่านหลังบ้าน รู้สึกสบายใจมาก ขณะที่ยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านที่สนใจกับเจ้าคนที่นอนอยู่นั้นร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม เห็นเขาร้องไห้ต่อเมื่อมีญาติตายหรือเสียของรัก นี่ไม่มีใครตายสักคน เขาร้องไห้ทำไม คิดแล้วก็ไม่สนใจ มายืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่ง ไม่ถึง ๑๐ นาทีกะเวลาโดยประมาณ เห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด ฉันคอยอยู่ข้างทาง คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน เมื่อพวกเขามาใกล้ เห็นชาย ๔ คนคุมมา คน ๔ คน นุ่งผ้าเขียวเหมือนกัน ตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตาม หัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันเห็นเขาใหญ่ ฉันก็เลยทำตัวใหญ่มั่ง ใหญ่และสูงเท่าเขา ชาย ๔ คนๆ หนึ่งเดินนำหน้า มีสมุดข่อยในมือ สองคนเดินขนาบข้าง ๒ ข้าง คนที่ ๔ เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มาหาฉัน ฉันเข้าไปยกมือไหว้เขา ถามเขาว่าลุงจะไปไหนกันครับ เขามองหน้าฉัน แล้วเขาก็เปิดสมุดข่อย เขาบอกว่า หนู ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลาน เดี๋ยวแม่จะบ่นหา แล้วเขาก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน เขากลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจ คิดว่าตาลุงนี่ท่าจะอย่างไรเสียแล้ว ถามว่าไปไหน ดันเปิดบัญชีแล้วบอกว่าไม่มีชื่อในบัญชี เรื่องอะไรที่แกจะมาบังคับเรา ต้องถามเอาความให้ได้ จึงเดินตามแกออกไป เห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายหน ทราบว่าเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่า เมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอถึงคนที่ขนาบข้างและคนท้ายถามเขาอย่างนั้นเขาทำอย่างเดียวกันก็เลยสงสัย ใหญ่ คิดว่าตาเฒ่าหัวงูพวกนี้มันบ้าหรือดี เราถามอย่างหนึ่ง แต่ทำอย่างหนึ่ง ดีละ พวกแกปกปิดฉัน ฉันก็มีมือมีเท้า ฉันจะต้องรู้ว่าพวกแกเดินขบวนไปทางไหนกัน เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตร ก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือ ไปไม่ได้ไกลนักก็เข้าป่าไผ่ ทีทางเล็กๆ เดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามทาง แล้วมีเขาต่ำๆ ขวางทางเป็นระยะๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ ๑๐ ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมาก มันยาวเพียงใดไม่ทราบ ด้วยมันยาวและสูงมากเสียอีกด้วย หัวหน้าเขาขึ้นไป เมื่อถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไป ทั้ง ๔ คน รู้สึกว่ามีอาการตกใจมาก แกถามว่าพ่อหนูมาทำไม ก็ได้บอกแกว่า เมื่อผมถามลุงว่าลุงไปไหน ลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย แล้วถามแกว่าพวกนั้นเขาไปไหนกัน แกฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยตัวแกดำมาก แกพากันบอกว่า ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก จะว่าเลวก็ไม่เชิงนะ คนที่ลงนรกนี่มีเกียรติขนาดเทวดามารับ มันไม่เลวจริงๆ ใครอยากไปบ้างก็เชิญตามสบาย แต่ลูกแกะไม่ขอร่วมทางไปด้วย ถามแกว่าคนที่เอามาส่งนรกเขาทำความผิดอะไร แกบอกว่าคนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรม ขาดความเมตตาปราณี เมื่อทำชั่วอีก เขาก็นำมาลงโทษอีก ว่าแล้วแกก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือต้องลงจากเขาลงไปก่อนจึงจะถึงผืนแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดินตามที่คิดหรือพูดกัน มีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามแกลงไปเห็นผืนดินใหญ่ ใหญ่โตกว้างขวาง ยังมีที่ว่างมาก ใครจะไปปลูกบ้านที่นั่นก็ได้ถ้าหาซื้อที่ยาก ที่นั่นเขาแจกฟรี คนไม่อยากไปเขายังมารับลงไปเลย แสดงว่ามีมากกว่าความต้องการของคน หรือว่านักจัดสรรที่จะไปจับจองจัดสรรบ้างก็จะดีเหมือนกัน มองลงไปเห็นที่ทั้งที่ มีอาคาร ๓ หลัง มีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายจากที่มองลงไปยืนอยู่หลายพันคน มีคนตัวโตๆอย่างพวกตาลุงเยอะแยะ ยืนถึงหอกหน้าถมึงทึง แสดงว่าควบคุมพวกนั้นอยู่มากมาย อาคารในจำนวน ๓ หลัง ๆกลางและลึกเข้าไปเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย คนเข้ามีพวกตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม มีพวกที่สวนออกมา มีพวกตัวโตเดินนำหน้า เมื่อออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีพระอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทางเมื่อเห็นคนเข้าออกก็นึกสงสัยว่าพวกนี้ เขาเข้าออกอาคารหลังนั้นเพื่ออะไร จึงถามตาลุงหัวหน้าหมู่ว่า ลุงครับ พวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน พอถามเท่านี้ ตาลุงหัวหน้าหมู่แกแสดงท่าทางเป็นคนรู้ขึ้นมาทันที แกบอกว่าเมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก แกชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่มีจำนวนหลายพันคน แกบอกว่าคนที่ยืนคอยอยู่นั้นเขาคอยการตัดสินของพญายมราช เรียกตัวและจะชำระโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พญายมฯชำระคดีแล้ว นายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษากฎหมายเมืองนรก ก็นำไปลงโทษตามโทษานุโทษที่พวกเขาทำไว้ พูดแล้วแกก็ชี้มือไปทางตะวันออก แกบอกให้มองตามมือแกชี้ เมื่อมองตามไป เห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกล ไม่รู้ว่าที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหน แกบอกว่าตรงนั้นแหละที่เรียกว่านรก เป็นสถานที่ลงโทษสัตว์คนที่ทำชั่ว ลมปราณสิ้นแล้ว เขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามแกว่าเขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง แกบอกว่าต้องโทษเหมือนกันหมดก็คือ ถูกไฟเผาเหมือนกัน แต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมากไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตาย ต้องเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ เมื่อแกบรรยายตามเรื่องของแกแล้วก็ออกปากขออนุญาตลงไปดู พวกแกทุกคนต่างแสดงอาการเดือนร้อนมาก ร้องออกมาพร้อมกันว่า ไม่ได้ หลานชาย อย่าลงไป ไม่ได้ ถ้าหลานลงไปลุงทั้ง ๔ คน จะถูกลงโทษอย่างหนัก ถามว่าเพราะอะไรลุงจึงจะถูกลงโทษ และใครเป็นคนลงโทษลุง แกบอกว่า เพราะกฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนที่จะตาย (ออกจากร่าง) ก่อนที่จะตาย ถ้าภาวนาพุทโธ หรือ อรหัง คนประเภทนี้ ถ้าลุงอนุญาตให้เข้าไปในแดนนรก พญายมฯ จะลงโทษลุงทั้ง ๔ อย่างหนัก ก็บอกแกว่า เมื่อลุงไม่ได้จับผมไป ผมไปเองลุงจะถูกลงโทษอย่างไร มันไม่ใช่ความผิดของลุง แกตอบว่าไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงพาคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร ไม่เนื่องด้วยลุง พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไป พวกแก ๔ คน พากันยืนเกาะแขนกั้นไม่ให้ลง นึกขำในใจ คิดว่าเทวดานี้ทำเหมือนเด็กๆ เมื่อออกปากอยากดูการลงโทษ แกบอกว่าได้ แกถามว่าอยากดูนรกขุมไหน ถามแกว่านรกมีกี่ขุม แกตอบว่าขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลกียนรกมีอีก ๑๐ ขุม บอกแกว่าอยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร แกชี้มือบอกว่านรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้ พอแกชี้ก็เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพาวุธนานาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้ อาวุธก็ประหาร ตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก ๓-๔ เล่ม แทงทะลุพรุนไปหมด ไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันที ไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ ชมพอเห็นพอที่จะคุยกับนักปราชญ์ประเภทดี แต่สอนชาวบ้านได้นิดหน่อย ตาหัวหน้าหมู่ก็บอกว่า หมดเวลาแล้ว ทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้ว หลานต้องรีบกลับ แกบอกให้กลับก็เกิดจำทางเดิมไม่ได้ ตาลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง แกคงโมโหที่ทำให้แกลำบาก แกจับขา ๒ ขา เอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าแก แกพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา พอมาถึงหน้าบ้าน เห็นประตูบ้านแกเสือกหัวเข้าประตู พร้อมกับด่าว่า เอ้า...อ้ายห่า เข้าไป เสือกตามไปทำไมก็ไม่รู้ พากูลำบากด้วย แล้วแกก็หายไป พอตาลุงเสือกหัวเข้าประตูบ้านก็มีความรู้สึกทางร่างกาย ลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายน้ำจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ ๓๐ ปีมานั่งมองอยู่ข้างๆ ได้ออกปากขอความกรุณาแกเพื่อให้แกหาน้ำให้สักขัน แกคงฟังไม่ถนัด แกก้มลงเอาหูมาใกล้ปาก ก็ออกปากขออีกครั้งว่า น้าครับ ขอน้ำผมสักขันเถอะครับ พอแกได้ยินเข้าเท่านั้น แทนที่จะไปหาน้ำมาให้ แกโดดผลุงข้ามตัวไปสัก ๑ วา แกร้องเสียงดังว่า ผีหลอก ดูเถอะท่านผู้อ่าน มนุษย์มันเป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้างๆตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี เรื่องของคนนี่มันสับสนบอกไม่ถูก เมื่อทุกคนเขาได้ยินเจ้าทิดหัวเหม่งขี้ขลาดเกินคนร้องว่าผีหลอก ทุกคนก็เข้าใจว่าฟื้นแล้ว ด้วยเมื่อหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติท่านมา ท่านมีศักดิ์เป็นลุง ท่านห้ามทุกคนทำกิจทุกอย่างแก่ร่างกาย ท่านบอกให้ปล่อยไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้น เขาอยากเห็นการฟื้น รวมทั้งเจ้าทิดจอมขี้ขลาดตาขาวคนนั้นด้วย ต่างก็ล้อมวงกันเข้ามาตามธรรมเนียมของไทยมุง ท่านลุงเป็นพระมีคำสั่งให้เอาน้ำสะอาด สมัยนั้นก็นำฝนเป็นน้ำสะอาดอันดับ ๑ เอามาให้ ๑ ขันขนาดใหญ่ ฉันก็กินเสียจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นเมื่อก่อนตายไม่มีอาการปรากฏเลย ไม่ทราบว่ามันหายไปทางไหน ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า เรียนมาจากหลวงพ่อปาน วันนั้นท่านแม่เองก็ต้องบรรยายเรื่องภาวนาเสียจนเหนื่อย วันต่อมาพวกกลัวตายพากันมาเรียนเป็นการใหญ่ แต่ใครจะได้อะไรไปบ้างเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ส่วนฉันไปแล้วเขาไม่ให้นรก เมื่อฟื้นแล้วความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ก็เป็นเรื่องแปลก เมื่ออยากเห็นท่านคราวไร เป็นเห็นท่านชัดเจนทุกครั้ง และการไปนรกฉันไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย อยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ไปทุกที ฉันไม่รู้ว่าเข้าฌานกันอย่างไร พออยากไปนรก ฉันจำได้ว่าก่อนเห็นนรกฉันเห็นพระองค์นั้นก่อน แล้วฉันก็กลายเป็นคนมีตัว ๒ ตัว แล้วฉันก็ไปนรกได้ ฉันจำได้และก็ปฏิบัติตามนั้นเป็นปกติตลอดมาจนบวชพระ คือ ทุกครั้งที่ฉันอยากไปนรกฉันก็นึกถึงพระองค์นั้นก่อน เมื่อเห็นท่านก็บอกว่าฉันจะไปเที่ยวนรก พอท่านยิ้มฉันก็ไปปรากฏตัวที่เมืองนรกทุกคราว ไม่เห็นต้องตั้งท่าตั้งทางทำพิธีรีตองอะไรเลย การไปนรกเป็นปกติของฉันทำให้ฉันเป็นคนเลว เพราะเมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์ พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์ เมื่อเทศน์จบแล้ว ถามท่านว่าท่านเคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่เคยเห็น ถามท่านว่าเมื่อไม่เคยเห็นแล้วท่านเอาอะไรมาเทศน์ ท่านบอกว่าอ่านจากตำรา เมื่อพูดเรื่องที่ไปเห็นมา ท่านหาว่าโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี่หลอกลวงชาวบ้านหากิน ไม่เห็นมีอะไรดีสักนิด คุยเป็นผู้รู้เอาเปรียบชาวบ้าน ไม่ทำมาหากิน แล้วมานั่งโกหกชาวบ้านว่าตนเป็นผู้วิเศษ เล่าเรื่องสวรรค์นรกให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมากลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยทำให้เกลียดพระ ไม่อยากไหว้พระ ตามความรู้สึกขณะนั้นคิดว่า เอาอาหารให้พระพวกนี้ให้หมาที่บ้านดีกว่า มันช่วยเป็นยาม พระก็แล้วก็ไป เวลาจะให้ก็ต้องประเคน ต้องไหว้ กินเสียของแล้วหาคุณประโยชน์อะไรไม่ได้เลย เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธรูปไหว้ พระที่ลุงท่านรู้สวรรค์นรก องค์นี้ไหว้ องค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมไหว้เด็ดขาด ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคน ใครจะประเคนก็ตามใจ แต่ฉันไม่ยอมประเคนเด็ดขาด ต่อมาเมื่อพบคู่ปรับ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางโคนม อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์นี้ไหว้ได้สุดตัว เพราะจะเอาอะไรก็ได้ นรก สวรรค์ หรือนิพพาน ท่านกล้ายืนยันทุกประตูเรื่องที่ไปเห็นมาท่านพูดถูกหมด แล้วยังท้าทายทุกอย่าง อย่างไหนท่านก็ทำได้ อยากจะเรียนไปสวรรค์ พรหม หรือระดับนิพพาน ท่านบอกว่าท่านมีครบทุกอย่าง พระดีท่านมี แต่พระประเภทหากินหลอกชาวบ้านก็มี ฉันมันเลวเองที่ไปหาว่าพระท่านไม่ดี ไม่อยากไหว้พระ ปฏิปทานี้อย่าเอาไปปฏิบัติตาม ปล่อยให้ฉันระยำไปคนเดียวก็แล้วกัน

ห้องสมุดธรรมะ