เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

 “..สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม  จันทสิริ ) วัดสุทัศน์ฯ มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๖ หลังจากมรณภาพแล้วท่านมาหาอาตมา ได้ถามท่านว่า “เวลาตอนจะตายท่านรู้สึกอย่างไร” ท่านบอกว่า “ถามความรู้สึกไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง อาการมันเป็นอย่างนี้ ที่เขาว่าหัวใจข้าล้มเหลวนั้นที่จริงจิตใจข้าไม่ล้มเหลว แต่ก้อนเนื้อหัวใจมันล้มเหลว ไปนั่งดูมัน ดูจังหวะการเต้นของหัวใจมันไม่แน่นอน”  ถามต่อว่า “ในช่วงนั้นมันก็หลายวันอยู่ นอกจากหัวใจล้มเหลวแล้วมันมีทุกขเวทนาอะไรอีกบ้าง”  ท่านก็บอกว่า “ขันธ์ ๕ โดยทั่วไปมันดีนะ แล้วข้าก็นั่งดูมันไป คือเข้าไปดูข้างใน ต้องแยกจิตเข้าไปดูนะ ข้าก็เหมือนแก นั่งดูแล้วก็ดึงนั่นกระตุกนี่เพราะหัวใจล้มเหลว ระบบประสาทต่างๆ มันก็ไม่ทรงตัว”  ถามว่า “แล้วยังไงต่อไป” ท่านก็บอกว่า “ข้าก็ตัดสินใจได้ ไอ้คำปราศรัยของแกดีโว้ย ปรารภถึงนิพพานเรื่อย” ท่านหมายถึงเทปที่เคยสนทนากับท่านเมื่อหลายปีมาแล้ว ท่านบอกว่า “ข้าแก่แล้วไม่รู้จะไปไหน เลยตั้งใจไปนิพพาน”

ท่านเป็นสมเด็จฯ แต่จิตท่านไม่เก็บอะไร พยายามวางโลกธรรม คนทั่วไปดูแล้วเห็นว่าบ้าๆบวมๆ จะเห็นว่ามีศักดิ์ศรีไม่สมที่จะเป็นสมเด็จฯ ใช่ไหม อย่างเมื่อคราวไปงานพิธีพุทธาภิเษกที่วัดสามพระยา ปีนั้นเป็นการทำบุญวันเกิด สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตอนนั้นท่านเพิ่งเป็นสมเด็จฯได้ปีเดียว พอตอนฉันเพลเขาจัดสำรับไว้ให้ ๓ สำรับ ของสมเด็จวัดสามพระยาสำรับหนึ่ง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์สำรับหนึ่ง ของอาตมาสำรับหนึ่ง ก็บอก “ผมไม่เอาละหลวงพ่อ เดี๋ยวผมไปฉันข้างนอกดีกว่า” ท่านก็ถาม “ทำไมล่ะ” ก็บอก “กินข้าวกับอาตมา กินไม่สะดวก” ท่านก็บอก“เฮ้ย กินสำรับรวมกัน” บอก “ไม่เอาละ เดี๋ยวมองหน้ากันไม่ถูก เอามือไปจิ้มกะปิเข้าก็ยุ่ง” ว่าแล้วก็ลุกมาเลย ท่านก็ตามมาบ้าง ถามท่านว่า “หลวงพ่อไม่ฉันข้าวข้างในหรือ สมเด็จฯท่านจัดสำรับให้” ท่านก็บอก “วันนี้กินข้าวกับฤๅษีดีกว่าว่ะ” พอนั่งปุ๊บท่านก็บอก “มีแต่ก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่มีแห้งนี่หว่า” อาตมาก็กระเซ้าว่า “จะกินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว” ท่านก็บอก “ก๋วยเตี๋ยวมันก็คือข้าวเหมือนกันว่ะ”

ท่านวางตัวแบบนี้ ไม่ถือตัวทั้งๆที่เพิ่งเป็นสมเด็จฯ ได้ปีเดียว แสดงว่าท่านไม่ติดโลกธรรม เราต้องมองกันมุมนี้ ถ้ามองในแบบคนถือยศถือศักดิ์จะกลายเป็นว่าสมเด็จฯ ไม่รักษาศักดิ์ศรี ย้อนมาคุยกับท่าน หลังจากที่ท่านตายแล้ว อดนึกไม่ได้ว่าตอนท่านเป็นหนุ่มๆ ท่านคิดอย่างไร เสียงบอกมาเลยว่า “หนุ่มๆ ข้าไม่ได้นึกโว้ย” ท่านบอกว่า “ยังไงๆ ข้าได้เปรียบต้องไปก่อนละ  เพราะข้าแก่กว่าต้องโกยก่อน ได้เปรียบตอนแก่ก็เพราะว่าความวุ่นวายน้อย หากจะไปแต่งงานกับสาวๆ อีสาวจะอาเจียนตายเรื่องนี้เลิกได้ อยากจะรวยก็ไม่รู้จะเอาไปไหน จะโกรธจะไปฆ่าใครก็ไม่แน่ว่าเราจะฆ่าเขาหรือว่าเขาจะฆ่าเรา อย่างดีก็แค่ได้แต่แช่งในใจ”

ท่านทำภาพให้ดูก่อนตาย ประสาทมันเต้นยึกๆ ยักๆ ท่านดูทุกขเวทนาข้างใน พอออกมาดูข้างนอก “ร่างกายนี่มันโสโครกทุกอย่าง ยิ่งข้างในยิ่งเลอะไม่เป็นเรื่อง ปกติไม่ป่วยก็เดินไม่ค่อยจะไหวไม่ได้สติสตัง ไอ้ร่างกายนี่มันไม่มีอะไรดีเลย นึกอยู่ว่าได้เวลาก็จะไป” ก็เลยถามท่านว่า “แล้วทำไมไม่ไปเสียล่ะ” ท่านก็บอก “ยังไม่ไป ลอยมันบนดินเล่น” ถามท่านว่า “อยู่ที่ไหน” ท่านบอก “เขาลือกันว่าผมไปเป็นอรูปพรหม” ถามท่านว่า “แล้วเจริญอรูปฌานหรือเปล่า” ท่านบอกว่า “เปล่าโว้ย” มีคนเขาดูกันบอกไปเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นอรูปพรหมบ้าง ถามท่านว่า “แล้วจะไปไหน” ท่านก็บอก “ข้าไม่รู้จะไปไหนก็ไปที่แกอยากจะพูด ใครเขาจะโง่ ก็รู้แล้วว่าอรูปฌานมันเป็นฌานโลกีย์”

ธรรมะประจำวัน

ลูกเอ๋ย... นี่เป็นธรรมดาของร่างกาย
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา
สังขารมัน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงหรอก
ทุกขัง ตอนอยู่ มันเป็นทุกข์
แต่ผลที่สุด มันก็ อนัตตา สลายไป มีแค่นี้
อย่ายึดสังขารพ่อเลย...