เว็บไซด์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยถ่ายทอดตามแนวทางที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เมตตาสอนไว้

 “..วันนี้จะขอเล่าเกร็ดความรู้ที่ได้มาจาก การเจริญพระกรรมฐาน ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้มาเป็นกรณีพิเศษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่วัดศีรษะเมือง (วัดมหาธาตุ)อำเภอสรรค  บุรี จังหวัดชัยนาท วันนั้นเขาทำบุญงานศพ สำหรับงานศพรายนี้ก็ปรากฏว่าลูกสาวเป็นคนจัดงานทำศพพ่อ ได้มาอาราธนาอาตมาเป็นประธาน ก็เลยบอกเจ้าภาพว่า

“จะให้เป็นประธานก็ได้ แต่ถ้าพระเป็นประธานละก้อ การจัดงานศพพ่อก็ดี การจัดงานบวชก็ดี และ การทำบุญทั้งหมด จะมีบาปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้คือ

(๑) สิ่งใดก็ตามที่เป็นบาปอกุศลจะต้องไม่มีในงานนี้ แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย

(๒) เวลาจัดงานศพ ควรจะหาคนรับรองแขกแทนตัวเอง ใจจะได้ไม่กังวล 

เวลาพระให้ศีล ต้องรับศีลให้จบและตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพ

เวลาพระสวด ก็ต้องตั้งใจฟังพระสวดจนจบด้วยความเคารพ

เวลาพระเทศน์ ต้องฟังเทศน์ด้วยความเคารพจนจบ

เวลาถวายทาน ให้ตั้งใจถวายทานด้วยความเคารพ

(๓) อย่าให้มีสุรายาเมา เข้ามาเจือปนในงาน

(๔) มหรสพอย่ามีแม้แต่ปี่พาทย์ กลองยาว เพราะคนเล่นส่วนใหญ่มักจะกินเหล้ากัน”

ลูกสาวก็รับคำและปฏิบัติตามนั้น ตอนเช้าบวชน้องชาย ตอนสายก็นำศพพ่อขึ้นศาลา ตอนเพลเลี้ยงพระ ๓๐ กว่าองค์ ถวายผ้าสบง ผ้าไตรจีวร เป็นสังฆทานเต็มอัตรา มีเทศน์ ๒ องค์ อาตมากับเจ้าคุณภาวนาภิรามเถระ ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาญาณองค์หนึ่ง ตอนต้นอาตมาก็บอกอานิสงส์ไปสัก ๑๕ นาที ต่อมาเจ้าคุณภาวนาฯ ซึ่งเป็นองค์ถาม องค์นี้ท่านชอบร่ายยาวอย่างน้อยที่สุดจะต้องพูด ๓๐ นาที ท่านว่าอารัมภบทก่อน

เมื่อท่านเริ่มตั้งนะโม อาตมาก็จับจิตเข้าสู่ความสงบตามแบบฉบับที่หลวงพ่อปานเคยสอนว่า ก่อนจะเทศน์ต้องทำจิตให้เข้าสู่พระกรรมฐานสูงสุดเท่าที่เรามีอยู่ ขณะ ที่ท่านร่ายยาวอาตมาก็นึกว่าวันนี้ได้กำไร พอจิตวางอารมณ์ได้สบายสัก ๕ นาที ก็นึกถึงคนตายว่า “นายกิ่มแกไปอยู่ที่ไหน” มองดูรอบๆ บริเวณที่เขาทำบุญ เห็นแต่พวกเปรตมายืนเต็มพรืดเป็นแสนรอบศาลาไปหมดแต่ผีนายกิ่มไม่ปรากฏมีอยู่ที่นั้น จึงสงสัยว่า “นายกิ่มน่ากลัวจะมีอันตราย” หมายความว่าแกอาจจะถูกลงโทษด้วยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงกำหนดจิตนึกถึงท่านท้าวมหาราช ถามท่านว่า “เวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน ใครควบคุมอยู่ ถ้าอยู่ในช่วงเสวยทุกขเวทนาอยู่ ขออนุญาตครู่หนึ่งได้โปรดนำมาก่อนด้วย เวลานี้เขาทำบุญใหญ่ให้”

จะไปเรียกเขามาเฉยๆ ไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์เลย ท่านท้าวมหาราชท่านให้ลูกน้อง ๒ คนไปบอกเจ้าหน้าที่แล้วจึงนำมา ภาพก็ปรากฏ นายกิ่มเดินมาหน้าตาเศร้าสร้อยมีความทุกข์เหลือเกิน มีโซ่ ๒ เส้นล่ามคอ มีคนจูงหางโซ่ข้างละคน นายกิ่มอยู่ตรงกลาง พอ มาถึงก็นั่งก้มหน้าแสดงความทุกข์ข้างธรรมาสน์ เรียกอย่างไรก็ไม่เงยหน้าฟังเลยไม่ยอมพูด จึงถามคนที่คุมมาว่า “ทำไมเป็นอย่างนี้” เขาบอกว่า “กรรมมันหนักครับ” จึง ถามว่า “เขาตัดสินแล้วหรือยัง” เขาตอบ “ยังครับ ยังรอการตัดสินอยู่ ถ้าตัดสินแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ ถ้าลงนรกไปแล้วไม่มีสิทธิ์ขอท่าน ถ้าได้ก็เพียงแต่ความร้อนลดน้อยลงไปบ้าง” จึงถามว่า “วันนี้เขาบวชลูกชายแก เพื่อทำบุญให้ มีการถวายสังฆทาน เลี้ยงพระบังสุกุล ๓๐ กว่าองค์ และก็มีเทศน์ด้วย จัดว่าเป็นมหากุศล บุญใหญ่ทั้งหมดขนาดนี้ ทำไมจึงโมทนาไม่ได้” เขาตอบว่า “ไม่มีสิทธิ์โมทนา เพราะกรรมหนัก บุญที่ลูกทำให้ก็ดี หรือบุญที่นายกิ่มทำมาแล้วก็ดี เวลานี้กำลังไม่พอ”

แล้วเขาก็เล่าประวัติของนายกิ่ม ว่าเดิมทีทำความไม่ดีมามาก แต่ตอนปลายได้มาพบอาตมานั้นแกทำความดี เวลานั้นอาตมายังอยู่กรุงเทพฯ ขึ้นมาทีไรมานอนพัก ๕ วัน ๗ วัน นายกิ่มก็มานอนอยู่ด้วยทุกวัน ถ้าอาตมาไม่กลับแกก็ไม่กลับ ให้ลูกสาวเอาข้าวต้มมาถวายตอนเช้า ตอนเพลเอาข้าวสวยมาถวาย ตอนบ่ายตอนเย็นเอาเภสัชมาถวาย ทำดีทุกอย่างมาประมาณ ๑๐ ปี เหล้าก็ไม่ดื่ม แต่ทว่าอดีตของแกมันไม่ดี เขาเรียกว่า ต้นคดปลายดี หรือเรียกว่า โจรกลับใจก็ได้ ชั่วกับดีมันกํ้ากึ่งกัน จะลงนรกทีเดียวหรือขึ้นสวรรค์เลยก็ไม่ได้ ต้องสอบสวนก่อน ก็เลยบอกว่า “ความดีเขามีอยู่ แต่เวลาตายจิตมัวหมอง อย่างนี้บุญอะไรเขาจึงจะโมทนาได้” คนที่คุมมาท่านชี้มาที่อาตมาบอกว่า “บุญ พระกรรมฐานของท่านช่วยได้” ถามอีกว่า “บุญที่เขาทำมาก่อนกับบุญเวลานี้จะรวม ตัวกันหรือไม่” ท่านตอบว่า “รวมตัวครับ” แสดงว่า เวลากุศลกรรมส่งผล ผลบุญทั้งหมดที่ทำไว้ก็จะรวมตัวกันช่วยเสริมทันที ในทำนองเดียวกัน ถ้าเวลาอกุศลกรรมส่งผลเมื่อใด ผลบาปทั้งหมดก็จะรวมตัวกันช่วยเสริมทันทีเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกข์หนักมากยิ่งขึ้น

อาตมาจึงบอกให้นายกิ่มตั้งใจฟังและโมทนาตามว่า “กุศลผลบุญใดที่อาตมาเคย บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จะพึงให้ประโยชน์และความสุขแก่อาตมาเพียงใด ขอนายกิ่มจงโมทนารับผลบุญนี้เช่นเดียวกับอาตมาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

เพียงเท่านี้ปรากฏว่า โซ่ที่รัดคอล่ามไว้ ๒ เส้นหลุดออกไปจากคอทันทีโดยไม่ต้องปลด นายกิ่มก้มลงกราบอาตมา กราบครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่ แต่พอกราบครั้งที่ ๓ เสร็จ ลุกขึ้นมาสวยอร่ามเป็นเทวดามีความสวยผิดปกติ หลังจากนั้นก็ไปจับลูก ทักคนโน้นคนนี้ จับคอเขย่าก็ไม่มีใครเหลียวดู เพราะเขาไม่รู้เรื่อง

อาตมาได้ถามคนคุมว่า “ทำไมนายกิ่มจึงสวยมากอย่างนี้” เขาตอบว่า ด้วย อำนาจบุญพระกรรมฐานที่ท่านให้ สามารถที่จะเปลื้องให้พ้นจากความทุกข์ เมื่อบุญส่วนหนึ่งเข้าถึงใจแล้ว บุญทั้งหมดที่นายกิ่มทำมาก่อนก็ดี บุญที่ลูกสาวทำให้ในวันนี้ก็ดี บุญทั้งหมดก็มารวมตัวกันหมด จึงทำให้เป็นเทวดาที่มีความสวยงามมาก ก็เลยบอกท่าน ว่า “ขอขอบใจที่ได้แนะนำฉัน” คนคุม ๒ คนก็เลยบอกว่า “ท่านครับ ผมเองก็ไม่อยากจะทำงานในตำแหน่งนี้เหมือนกัน ต้องคอยมารับคนแบบนี้มันลำบาก ไม่มีความสุข ผมสองคนก็อยากได้บ้าง” ก็เลยถามว่า “ทำอย่างไรเธอทั้งสองจึงจะได้ล่ะ” เขาก็ บอกว่า “ท่านให้กับนายกิ่มแบบไหนก็ให้ผมแบบนั้น ผมก็จะได้รับเหมือนกัน”

ก็เลยบอกว่า “อ้าว! แล้วไม่หนีงานเขาหรือ” เขาตอบว่า “นายเขาไม่ถือว่าหนีงานขอรับ ถ้ามีบุญถึงก็จะได้ไปเป็นเทวดา” อาตมาไม่ได้ลงทุนอะไร ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานแบบเดียวกันกับที่ให้กับนายกิ่ม พออธิษฐานจบ สองคนโมทนาแล้วเขาก็กราบ ๓ หนๆ ที่ ๓ มีสภาพเหมือนกับนายกิ่ม รูปร่างสวยงามเช่นกัน

เป็นอันว่าอานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเราจะทำบุญให้แก่คนตาย อันนี้มีประโยชน์มาก แต่ประโยชน์นั้นมันจะต้องถึงตัวเราก่อน ไม่ใช่คนตายจะมีโอกาสมาโมทนาเฉยๆ เราต้องเป็นผู้ให้เขาจึงจะได้รับ สรุปแล้วก็คือ ตัว เราเองต้องมีบุญซะก่อน จึงจะไปอุทิศส่วนกุศลให้คนตายได้ แดนใดที่ไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน หมายถึงพระที่ไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำไปเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้คนตายก็ไม่ได้รับ ทำบุญในเขตที่มีบุญน้อยก็มีอานิสงส์น้อย เขาก็มีความสุขน้อย ถ้าทำบุญในเขตที่มีบุญมาก เขาก็ได้รับผลมาก

ท่านพระยายมราช ท่านบอกว่า ถวายสังฆทานได้บุญดีที่สุด และท่านจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักท่านเท่านั้น อย่าง สัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่านท่านช่วยไม่ได้ และคนที่ลงนรกทันที เวลาตายก็ช่วยไม่ได้เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน ท่านได้บอกว่า เพื่อ ความแน่นอนจะปรากฏให้ทำดังนี้ เวลาทำบุญเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย ถ้ายังไม่มั่นใจว่าเขาจะได้รับหรือเปล่า ให้บอกกับท่านว่า ถ้าบุคคลนี้ (ให้เอ่ยชื่อ นามสกุล) ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอท่านพระยายมราชเป็นพยานด้วย ถ้าหากว่าพบท่านผู้นี้เมื่อไร ท่านก็ไม่ต้องสอบสวน ท่านจะให้เขาโมทนาทันที เขาก็จะไปสวรรค์เลย..


ห้องสมุดธรรมะ